ทำ seo ให้ติดหน้าแรก
seo คืออะไร
ทำ seo ???
SEO หมายถึง Search Engine Optimization
(การปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการค้นหาในเครื่องมือค้นหา) คือกระบวนการปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์เพื่อให้เว็บไซต์นั้นปราศจากปัญหาทางเทคนิคและปรับปรุงตัวเว็บไซต์ให้ตอบสนองต่อเครื่องมือค้นหาอย่างเช่น Google, Bing, Yahoo เป็นต้น ทำให้เว็บไซต์นั้นมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาที่ดีขึ้น เมื่อผู้ค้นหาค้นหาคำหรือประโยคที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์นั้
การทำ SEO รวมถึงกิจกรรมหลากหลายประเภทที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเราภาพของเว็บไซต์ เช่น
- การวิจัยและคำนวณคำสำคัญ: การหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์และมีความนิยมในการค้นหาของผู้ใช้ เพื่อนำมาใช้ในเนื้อหาและแท็กของเว็บไซต์
- การเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ: การเขียนเนื้อหาที่น่าสนใจและมีเราค่าสำหรับผู้อ่าน โดยให้คำสำคัญและข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหา
- การปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์: การตรวจสอบและปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลด, การเพิ่มความเหมาะสมของ URL, การใช้ Meta tag เป็นต้น
- การสร้าง Backlink: การสร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยทำให้เว็บไซต์ที่มีการอ้างอิงจากเว็บอื่นนั้นได้รับความน่าเชื่อถือในสายอาชีพเนื่องจากมี “แหล่งข้อมูล” มากขึ้น
- การให้บริการเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับอุปกรณ์เคลื่อนที่: การตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อหน้าจอของอุปกรณ์ที่คนใช้เปิดเว็บไซต์ เช่น มือถือ แท็บเล็ต เป็นต้น
เป้าหมายของ SEO คือ เพื่อทำให้เว็บไซต์ของเรามีการปรากฏในหน้าผลการค้นหา (SERPs) อยู่ใกล้กับตำแหน่งแรกสุด ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการนำผู้ใช้เข้าสู่เว็บไซต์ของเรา โดยเป้าหมายคือเพื่อเพิ่มการเยี่ยมชม, ยอดขาย, และภูมิคุ้มกันของเว็บไซต์ของเรา ในที่สุดนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการแยกตัวจากคู่แข่งในอุตสาหกรรมของเราด้วย
เป้าหมายของ SEO สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประการ ดังนี้
เพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์จากธรรมชาติ (Organic Traffic)
เพิ่มโอกาสในการขายหรือสร้างรายได้จากเว็บไซต์
การทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ได้รับประโยชน์ดังต่อไปนี้
เพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ การเข้าชมเว็บไซต์จากธรรมชาติ (Organic Traffic) หมายถึง การเข้าชมเว็บไซต์ที่มาจากผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาต่างๆ เช่น Google, Bing, Yahoo เป็นต้น ซึ่งการทำ SEO จะช่วยทำให้เว็บไซต์ปรากฏในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา ส่งผลให้มีผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์มากขึ้น
เพิ่มโอกาสในการขายหรือสร้างรายได้จากเว็บไซต์ การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่สนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของเว็บไซต์มากขึ้น เมื่อเว็บไซต์มีปริมาณการเข้าชมมากขึ้น โอกาสในการขายหรือสร้างรายได้จากเว็บไซต์ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
- การทำ SEO จำเป็นต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องมือค้นหาต่างๆ รวมถึงเทคนิคต่างๆ ในการทำ SEO ซึ่งในปัจจุบันมีเทคนิคในการทำ SEO มากมาย ผู้ประกอบการจึงควรศึกษาข้อมูลและเลือกใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
ตัวอย่างเป้าหมายของ SEO เฉพาะเจาะจง เช่น
ต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับ 1 สำหรับคำค้นหา “ร้านอาหารไทยในกรุงเทพฯ”
- ต้องการให้เว็บไซต์มีปริมาณการเข้าชมจากธรรมชาติเพิ่มขึ้น 10% ภายใน 6 เดือน
- ต้องการให้เว็บไซต์มีอัตรา Conversion เพิ่มขึ้น 5% ภายใน 1 ปี
ผู้ประกอบการควรกำหนดเป้าหมายของ SEO ที่เหมาะสมกับธุรกิจและวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เพื่อให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
ในการทำ SEO (Search Engine Optimization) มีหลายเครื่องมือที่มีความช่วยเหลือในการวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณเพื่อเพิ่มการแสดงผลในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google หรือ Bing ได้แก่:
- Google Analytics: เครื่องมือนี้ช่วยในการวิเคราะห์การเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ และการพึ่งพาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้เข้าชม เช่น มูลค่าการเข้าชมและการแยกประเภทของผู้เข้าชม เพื่อช่วยในการปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณตามความต้องการของผู้ใช้.
- Google Search Console: เครื่องมือนี้ช่วยในการตรวจสอบสถานะการทำ SEO ของเว็บไซต์ของคุณบน Google Search โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าชมเว็บไซต์และปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น ข้อผิดพลาดในการค้นหา (Crawl errors) และการส่งแผนผังไซต์ (Sitemap).
- Keyword Research Tools: เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการค้นหาคำหลัก (keywords) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาของคุณ และแสดงข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหาและความคุ้มค่าของแต่ละคำ.
- Ubersuggest เป็นเครื่องมือฟรีจาก Neil Patel ที่ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ของตนได้ โดยแสดงข้อมูลต่างๆ เช่น ปริมาณการค้นหาของคีย์เวิร์ด ระดับการแข่งขันของคีย์เวิร์ด คำแนะนำในการทำเนื้อหา เป็นต้น
- Ahrefs เป็นเครื่องมือแบบชำระเงินที่ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถวิเคราะห์ SEO ได้อย่างครอบคลุม โดยแสดงข้อมูลต่างๆ เช่น อันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา ปริมาณการเข้าชมจากผลการค้นหา ประสิทธิภาพของลิงก์ภายในเว็บไซต์ ประสิทธิภาพของ backlink เป็นต้น
- SEMrush เป็นเครื่องมือแบบชำระเงินที่ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถวิเคราะห์ SEO ได้อย่างครอบคลุม โดยแสดงข้อมูลต่างๆ เช่น อันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา ปริมาณการเข้าชมจากผลการค้นหา ประสิทธิภาพของลิงก์ภายในเว็บไซต์ ประสิทธิภาพของ backlink เป็นต้น
- Moz เป็นเครื่องมือแบบชำระเงินที่ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถวิเคราะห์ SEO ได้อย่างครอบคลุม โดยแสดงข้อมูลต่างๆ เช่น อันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา ปริมาณการเข้าชมจากผลการค้นหา ประสิทธิภาพของลิงก์ภายในเว็บไซต์ ประสิทธิภาพของ backlink เป็นต้น
- On-Page SEO Tools: ช่วยในการปรับปรุงเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้เหมาะสมกับการค้นหา เช่น Yoast SEO Plugin สำหรับ WordPress หรือ Screaming Frog SEO Spider สำหรับการตรวจสอบโครงสร้างเว็บไซต์.
- Backlink Analysis Tools: เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการตรวจสอบและวิเคราะห์ลิงก์ที่เชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้คุณสามารถติดตามความคืบหน้าของกิจกรรมการสร้างลิงก์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
- การวิเคราะห์ backlink จะช่วยให้เราเข้าใจว่าเว็บไซต์ของเราได้รับ backlink จากเว็บไซต์ใดบ้าง เว็บไซต์เหล่านั้นมีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด ลิงก์เหล่านั้นเชื่อมโยงไปยังหน้าใดของเว็บไซต์ของเรา และลิงก์เหล่านั้นมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราปรับปรุงคุณภาพของ backlink ที่มีอยู่และสร้าง backlink ใหม่ๆ ที่มีคุณภาพมายังเว็บไซต์ของเราได้
- Content Management Systems (CMS): การใช้ CMS เช่น WordPress, Joomla, หรือ Drupal ช่วยให้คุณสามารถสร้างและจัดการเนื้อหาในเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกและเข้ากับการทำ SEO.
- Social Media Management Tools: หากการมีออนไลน์โดยเฉพาะในสื่อสังคมเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของคุณ คุณสามารถใช้เครื่องมือสื่อสังคมเพื่อติดตามและจัดการกิจกรรมในโซเชียลมีเดีย.
- Mobile Optimization Tools: เนื่องจากมือถือมีบทบาทสำคัญในการค้นหาและ SEO คุณควรใช้เครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์บนอุปกรณ์มือถือ.
- Technical SEO Tools: เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการตรวจสอบปัญหาเทคนิคบนเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลด, การปรับแต่ง URL, การใช้งานหัว (headers), และอื่นๆ.
- Competitor Analysis Tools: เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการวิเคราะห์และเปรียบเทียบการทำ SEO ของคู่แข่ง โดยส่วนใหญ่จะช่วยในการหาโอกาสที่คุณสามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงการทำ SEO ของคุณ.
การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของคุณในการทำ SEO แต่ควรจะใช้เครื่องมือเหล่านี้ร่วมกันเพื่อช่วยให้การทำ SEO ของคุณมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น.
SEO On-Page และ Off-Page
คือ 2 กลยุทธ์หลักในการทำ SEO เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาของ Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ทั้งสองกลยุทธ์มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่ใช้วิธีการที่แตกต่างกัน
SEO On-Page คือ การปรับแต่งปัจจัยภายในเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์มีคุณภาพและสอดคล้องกับเกณฑ์การค้นหาของ Google ปัจจัย On-Page ที่สำคัญ ได้แก่
- เนื้อหา เนื้อหาควรมีคุณภาพ มีประโยชน์ ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา และเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่เลือก
- โครงสร้าง โครงสร้างเว็บไซต์ควรเป็นระเบียบ ง่ายต่อการค้นหา และเข้าใจ
- โค้ด โค้ดเว็บไซต์ควรเขียนอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
- ประสิทธิภาพ เว็บไซต์ควรโหลดได้รวดเร็ว
SEO Off-Page คือ การสร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของเรา ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่มีคุณภาพสูง จะช่วยเพิ่มคะแนนการจัดอันดับของเว็บไซต์เราในผลการค้นหา ปัจจัย Off-Page ที่สำคัญ ได้แก่
- Backlink ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของเรา
- Social media การมีส่วนร่วมกับโซเชียลมีเดีย
- การประชาสัมพันธ์ การเผยแพร่เว็บไซต์ของเราไปยังสื่อต่างๆ
ความแตกต่างระหว่าง SEO On-Page และ Off-Page
ปัจจัย | SEO On-Page | SEO Off-Page |
---|---|---|
ขอบเขต | ปัจจัยภายในเว็บไซต์ | ปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ |
ความควบคุม | เจ้าของเว็บไซต์สามารถควบคุมได้ | เจ้าของเว็บไซต์ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด |
ระยะเวลา | เห็นผลในระยะสั้นถึงกลาง | เห็นผลในระยะยาว |
ความสำคัญ | มีความสำคัญเท่ากัน | มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน |
On-Page SEO:
- คำสำคัญ (Keywords):
- การเลือกคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ
- การใช้คำสำคัญในหัวเรื่อง (Title), คำอธิบาย (Meta Description), และในเนื้อหา
- โครงสร้างข้อมูล (Structured Data):
- การใช้ Markup เพื่อช่วย Search Engine เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์
- URL และการสร้างลิงค์:
- การให้ URL มีโครงสร้างที่เข้าใจง่าย
- การสร้างลิงค์ภายในที่เกี่ยวข้อง
- คุณภาพของเนื้อหา:
- การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์
- การให้ข้อมูลที่มีความครบถ้วนและแนะนำ
- การปรับแต่งรูปภาพ:
- การให้รูปภาพมีขนาดเหมาะสม
- การใช้ Alt Text เพื่ออธิบายรูปภาพ
Off-Page SEO:
- การสร้างลิงค์ (Link Building):
- การสร้างลิงค์จากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้
- การใช้ Anchor Text ที่เกี่ยวข้อง
- โซเชียลมีเดีย:
- การสร้างการแบ่งปันผ่านโซเชียลมีเดีย
- การเข้าร่วมชุมชนและการโต้ตอบกับผู้ใช้
- ผลกระทบจากผู้ใช้ (User Signals):
- การเพิ่มความน่าเชื่อถือและความมีประสิทธิภาพของเว็บไซต์
- การเพิ่มความความพึงพอใจของผู้ใช้
- บทความและพาณิชย์ออนไลน์:
- การเขียนบทความที่น่าสนใจและแชร์ได้
- การเข้าร่วมในพาณิชย์ออนไลน์และการโปรโมทผลิตภัณฑ์หรือบริการ
- การวิจัยและการพัฒนา:
- การติดตามและปรับปรุงตามผลการวิจัย SEO ล่าสุด
- การปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของ Search Engine
การปรับปรุงทั้ง On-Page และ Off-Page SEO มีผลที่สำคัญในการเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาและเพิ่มนิยมของเว็บไซต์ของคุณในสายตาของ Search Engine และผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วไป.